ต้อกระจก เป็นภาวะที่เลนส์ตาขุ่นมัว ส่งผลให้การมองเห็นลดลง โดยในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาต้อกระจกให้หายขาด แต่สามารถรักษาต้อกระจกได้ด้วยการผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนเลนส์ตาที่ขุ่นมัวเป็นเลนส์ตาเทียม ซึ่งการผ่าตัดรักษา ต้อกระจกในปัจจุบัน สามารถแบ่งแบ่งออกได้เป็น 2 วิธีหลักๆ ได้แก่
- การผ่าตัดแบบสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Phacoemulsification)
การผ่าตัดด้วยวิธีนี้ เป็นวิธีการผ่าตัดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งรักษาโดยการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงสลายเลนส์ตาที่ขุ่นมัว จากนั้นจึงดูดเลนส์ตาที่ขุ่นมัวออกมาและใส่เลนส์ตาเทียมเข้าไปแทนที่
- การผ่าตัดแบบกรีดแผลเล็ก (Small incision cataract surgery)
การผ่าตัดแบบกรีดแผลเล็ก เป็นการผ่าตัดที่ใช้เวลาสั้นกว่าและฟื้นตัวได้เร็วกว่าการผ่าตัดแบบสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง ซึ่งรักษาโดยการใช้เลเซอร์หรืออุปกรณ์อื่นๆ กรีดแผลขนาดเล็กที่บริเวณกระจกตา จากนั้นจึงดูดเลนส์ตาที่ขุ่นมัวออกมาและใส่เลนส์ตาเทียมเข้าไปแทนที่
การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดต้อกระจก
ก่อนการผ่าตัดรักษาต้อกระจก ผู้ป่วยควรพบแพทย์เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับการผ่าตัดและการเตรียมตัวก่อนการผ่าตัด โดยแพทย์อาจสั่งตรวจร่างกายและตรวจสุขภาพตาเพิ่มเติม นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น
- หยุดรับประทานยาบางชนิดที่อาจส่งผลต่อการผ่าตัด เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาละลายลิ่มเลือด และยาแก้อักเสบบางชนิด เป็นต้น
- งดสูบบุหรี่
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
การดูแลหลังการผ่าตัดต้อกระจก
หลังการผ่าตัดต้อกระจก ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดตา ตาแดง บวมน้ำ และน้ำตาไหล ซึ่งแพทย์จะจ่ายยาแก้ปวดและยาหยอดตาให้ และผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น
- รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ
- ประคบเย็นบริเวณดวงตา
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสดวงตาอย่างรุนแรง
- พบแพทย์ตามนัดหมาย